Esanhouse
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

พิธีศพ ชาวอีสาน

Go down

พิธีศพ ชาวอีสาน Empty พิธีศพ ชาวอีสาน

ตั้งหัวข้อ  Admin Sat Mar 20, 2010 8:35 pm

พิธีศพ ชาวอีสาน




การตายหรือสิ้นชีวิต
การสุดท้ายของชีวิตได้แก่ความตาย บ่มีไผหลีกหนีจากความตายได้ สิ้นลมหายใจแล้วเป็นการตายได้ชาติเฮาเรียกว่าซากศพ คำว่าศพฯ นี้คำไทยมากล่าวออกจากคำว่า ศวะ หรือ สันสกฤต ว่า ศว แน่แท้แปลว่าสูญ

ทูตของเทวดา
คำว่าทูตคือเป็นคนสื่อสารให้เทวดาเตือนบอก คือมาเตือนให้รู้ฝูงนี้สู่วัน คือ ความเกิดนี้ทำให้ความตายอันนี้สองคือความชราแกมาเถิงแล้ว วันที่ ๓ ความเจ็บข้ามาเตือนอยู่บ่อย วันที่๔ ทำแนวบ่อดีก็เกิดต้องโทษด้วยเห็นแท้สู่วัน เทวทูตองค์ ๕ คือความตายนำไปสิ้นซาติ ไผจักหนีบ่ทันตายได้ทอใย เกิดแล้วบ่มีตายแม่นบ่เป็นไปได้ เทวทูตเตือนให้ทำดีอย่าได้ห่าง อย่าได้ประมาท ได้ทำซัวซัวซีวัง

คาถาเทวทูตคือคำเตือน
๑. อหัมปิโซมโห ซาติซัมโม ซาติงอนติโต หันทาหัง กัลยาณัง กโรมิ กาเยน วาจาย มนสาฯ
เรามีความเกิดเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเกิดไปไม่ได้ เอาเถอะเราจะรีบทำความดีด้วยวาจาใจ ก่อนตาย
๒. อหัมปิโซมพิ ชาราซัมโม ชะรัง อนติโต หันทาหัง กัลยาณัง กโรมิ กาเยน วาจาย มนสาฯ
เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เอาเถอะเราจะทำความดี ด้วยกาย วาจาใจ ก่อนตาย
๓. อหัมปิ โขมหิ พยาธิธัมโม พยาชิงอนติโต หันทาหัง กัลยานัง กโรมิ กาเยน วาจาย มนสา
เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เราเถอะเราจะทำความดีด้วย กาย วาจา ใจ ก่อนตาย
๔. เย ติร โภ ปาปานิ กโรนติ เต พิฎ เฐวธัมเฆ เอวรูปา วิวิธา กัมมการณา กริยันติ ติมังคัง ปรัตถ หันทาหัง กัลยาณัง กโรมิ กาเยน วาจายะ มานะสา
คนที่ทำกรรมชั่ว จะถูกเขาทำการต่างๆ อย่างเหมาะสมในปัจจุบันทันตาเห็น ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า เอาเถอะเราจะฮีบทำความดีด้วย กาย วาจา ใจ ก่อนจะตาย
๕. อหัมปิโขมหิ มรณธัมโม มรณัง อนติโต หันทาหัง กัลยาณัง กโรมิ ทาเยน วาจาย มานสา
เรามีความตายเป็นธรรมดา จะไม่ได้ล่วงพ้นความตายไป เอาเถอะเราจะรีบทำความดี ด้วยกายวาจาใจก่อนตาย

การบอกทางสวรรค์
เถิงวันป่วยหนักนั้นคนเราก็ดิ้นตั่น ตีนมือก็บ่คงอยู่ได้แด่ดิ้นดั่นทรวง เราควรหาดอกไม้ทั้งประธูปเทียนหอม เอามือประณมมือระลึกถึงคุณแก้ว ระลึก พระพุทธ ธรรม สงฆ์ ไว้ในใจอย่าให้ขาด คดีโลกถือว่าก็เอาดอกไม้บูชาไหว้อยู่สวรรค์ ให้นำดอกไม้ไปไหว้เจดีย์แก้วจุลฆณีสวรรค์โลก ทางคดีธรรมเผินกล่าว ส่วนว่าให้ระลึกเถิงศีลธรรม ทานศีลภาวนาพวกนี้ถือว่าอย่าลืม

การอาบน้ำศพ
คนตายโหงนั้นคือคนตายด่วน คนถือฆ่า ตกน้ำ ตกต้นไม้แนวนี้ว่าตายโหง เพียงแต่มัดเอาเท้าตีนมือฮวมอยู่นำไปฝั่งป่าซ้าแนวนี้แม่นครอง คือว่าตายบริสุทธิ์แท้บ่เผาไฟให้ลำบาก เดียวจะเกิดเดือนร้อนซาวบ้านว่า บ่ดี การตายธรรมดาเจ็บไข้ตายไปก็จิงอาบ เอาน้ำอบน้ำหอมอาบให้ด้วยเป็นการให้สะอาดดี ปราศจากมณพิษหิมโทษ คดีธรรมถือว่าสอนให้เอาศีลสมาธิ ปัญญา เป็นน้ำอาบกาย วาจา ให้สะอาด

หวีผมศพคนตาย
หวีทางหลัง ๑ ครั้ง กับต่าวหวีคืน หวีครั้งหน้านั้นหนหนึ่งเสมอกัน ตามคดีโลกคือว่าเกิดเป็นคนมีทั้งตายทั้งเกิด จิงหวีผมออกได้สองเท่าแบ่งกัน ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย วัฏฏะวนเวียนอย่างนี้จนฮอดนิทาน

การนุ่งห่มผ้าให้ศพ>>
เอาผ้าขาวสองชั้นพันกายเอาพบออก ชั้นในเอาซายพกไว้ข้างหลังชั้นหน้าเอาซายพกไว้ข้างหน้า ทั้งห่มผ้าเฉลียงบ่าไว้หมายสู่ทาง ทางหลังนั้นเป็นการนุ่งของคน ข้างหน้าในพกคนเป็นแท้ คดีธรรมถือได้ความบริสุทธิ์สะอาด คือนุ่งผ้าขาวแท้ๆ มลทิษนั้นแม่นบ่มี

รดน้ำศพ
ครั้นว่าเสร็จสรรพแล้วยอขึ้นบนเตียงจัดแจง จับมือขวามาแผ่ไว้สรงน้ำหมู่คน เอาหนอมเล็กฮองเรียบร้อยหัวหันทิศตะวันตก เตรียมน้ำอบน้ำหอมใส่ของเอาไว้ ญาติกาได้มาเพียงพร้อมพร่ำ ยอมือยกน้ำหอมใส่ฝ่ามือได้แล้วระลึกถึงเจ้าผู้ตาย

<<เอาเงินใส่ปากคนตาย
เงินใส่ปากศพนั้นไซ้เงินฮ่างของเก่า สิเป็นเงินบาทเงินเหรียญก็ใช้ได้นิยมไว้แต่นาน ทางคดีโลกนั้นถือว่าเป็นเสบียงอาหารค่าเรือค่ารถต่อไปภายหน้า จะไปสวรรค์ซั้นฟ้า เป็นพิธีตั้งแต่เก่า ส่วนคติธรรมบอกไว้สอนให้ได้อย่างดีว่า ให้รู้จักกินจักใช้อย่ามัวหลงเหลือขนาด ให้รู้จักแจกท่านแบ่งให้อย่าห่วงไว้ผู้เดียว ครั้นว่าตายไปแล้วสลึงเดียวย่อติดปากมีแต่ดวงวิญญาณท่อนั้นสิไปสู่ต่อกรรมเป็นอุบายทำให้เฮาคีดดี ตริตรอง เถิงบ่อนนั้นตายแล้วเสื่อมสูญ ท่านเอย







เอาหมากใส่ปากให้
คนที่ชอบเคี้ยวหมากนั้นให้เอาหมากใส่ปาก ตามคดีโลกว่าเป็นการแท้ทุกข์อยากกินอยากเคี้ยว คดีธรรมนั้นคนตายเหมิดความอยากเอาให้กินก็กินบ่ได้เหมือนไม้ปลูกเรือน

เอาสีผึ้งปิดตาปิดปาก
เขาจัดเอาสีผึ้งปิดตาปิดปาก คดีโลกถือว่าไว้ เพื่อว่ากันฮ้ายบ่อนย่อดี ปากกับหูนั้นมีของสกปรกไหลออกคดีธรรมให้ปิด หู จมูก ลิ้น กายได้ อย่างดี ได้เสียงตีเสียงฮ้ายบ่สนใจทำเหตุ บ่ลุอำนาจของความชั่วฮ้ายแนวนี้ถูกทาง

การมัดศพ
การมัดศพนั้นทำเป็นได้ สามเปาะ คือ มัดที่คอ มือและเท้าสามนี้จึงควรคดีโลกนั้นถือว่ารัดฮิงดี บ่ได้มือตีนตั่นถีบโรงเอาได้ คดีธรรมนั้นถือคำบาลีว่า ปุตโต คิเว บุตรนั้นคือเชือกผูกคอ ภริยา หัตเตเมียคือบ่อผูกศอก ธนังปาเท ทรัพย์สินนั้น คือปลอกสวมตีน สามอันนี้ติดพันกันอยู่ในมนุษย์โลกนี้แท้เพียงจริง นั่นแหล่ว
ในเวสสันดรเทศน์ไว้ฟังม่วนเหลือประมาณว่า ตัณหาอันรักลูกเหมือนเชือกผูกคอ ตัณหาอันฮักเมียเหมือนดั่งบ่ผูกศอก ตัณหาอันรักข้าวของเหมือนดั่งมอดเกลือกอยู่ในวัฏฏะสงสาร



<<ปูฝากศพ
สัมฟานด้วยไม้ไผ่ยาวท่อโลงผี เอา ๗ อันเชือกพันถักไว้อย่างดี แล้วเอารองใต้โลงผีชั้นหนึ่ง ทางคดีโลกเว้าให้ไปลวกไหม้ไฟได้ดั่งหมาย ทางคดีธรรมนั้นถือธรรม ๗อย่าง คือวิสุทธิ์ ๗ เดินง่ายได้บ่เนินช้าระหว่างทาง

บันไดสามชั้น
บันไดสามชั้นนั้นจำต้องทำตามรีด เอาก้านกล้วยหรือไม้ไผ่ผูกเป็นสามซั้นไว้บันไดเจ้าดั่งเห็น วางใส่ไว้ข้างนอกหรือตรงปากซองโลง ทางคดีเขาถือว่าขึ้นลงไปได้ เพื่อจักไปไหว้ธาตุแก้วจุฬาเอกบนสวรรค์ คดีธรรมนั้นหมายถึงภพทั้งสามไว้เวียนไหว้ตายเกิด กามาภพ รูปภพ อรูปภพ พวกนี้มีล้วนสู่อันอริยทรัพย์ ๗ นั้นแทนน้ำนมแม่ ทั้งข้าวป้อนฝู้ผ้าห่มแพร

ยกศพออกจากเรือน>>
ธรรมดาคนป่วยนั้นนอนตามบ่อนใดแน่ ก็ตั้งศพอยู่บ่อนหั้นอย่าหนี้แท้อื่นไกล ให้ถอดฝาตรงนั้นเอาไปทางบ้านทางออกทางระเบียงออกไว้ชานนั้นง่ายดาย



รดน้ำมนต์
เมื่อศพออกจากเรือนแล้วพระสงฆ์เจริญสวด เอาน้ำมนต์รดที่ตั้งศพนั้นออกไป เทน้ำกินน้ำใช้คว่ำบาตรเทไห การที่เจ้าทำแบบโบราณแนวนี้ คือเทเอาน้ำของบ่ดีเอาออก ถ้าผู้ตายเป็นพ่อแม่นั้นกระดานนั้นบ่อื่นไกล ถือว่าแบ่งเรือนให้พ่อแม่มีตามโบราณเอากระดานเรือนมาเฮ็ดโลงหอให้ หวังจักนำทางให้เมืองสวรรค์ชั้นยอด เป็นพ่อแม่เผิ่นปลูกสร้างเอาไว้เผื่อเฮา

<<การตั้งศพ
จะหวนกล่าวเถิงการตั้งศพคนตายอีกก่อน จะตั้งไว้ที่ใดแท้ก็ว่าดี แต่ต้องหันหัวไปทางถ้ำตะวันตกแมวอยู่ คดีโลกกล่าวไว้ว่าทางตะวันตกเป็นผีนอนอยู่ ถ้าเป็นคนต้องหันหัวไปตะวันออกโบราณนั้นว่าดี คดีธรรมคือด้านตะวันตกนั้นไปไกลตื่น ถือตายไปคืนมาบ่ได้เสมือนต้านดั่งหลัง

จุดไฟตั้งศพ>>
ตะเกียงดวงไฟนั้นจุดไว้ทางหัวอันหนึ่ง ทางตีนอันหนึ่งเผื่อช่วยไฟธาตุไว้กันผีได้ท่อกัน ส่วนคดีธรรมนั้นถือว่าแสงสว่างคือปัญญาสอนให้คนมีปัญญาต่อไปภายหน้า



ดังไฟศพ
ครั้นพระสงฆ์ให้มาติกาบทหนึ่ง จะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ ดับไว้ชั่วคราว ตามคดีโลกนั้นเป็นการดับเสนียดจังไร สู่อันมีพร้อมให้สูญหายไปเสียอย่ามีมาต้อง ส่วนคดีธรรมนั้นถือว่าความตายนั้นเหมือนไฟดับมอด ถ้าจุดไฟก็คือเกิดขึ้นแท้เหมือนต้านดั่งกันแนวใดเกิดมาแล้วก็มีแต่จะตายไปบ่มีไผคงทนอยู่บนดินฟ้า เทวดาอินทร์พรหมพร้อมนาค-ครุฑ นาคมีแต่ดับมอดเมี้ยนตายแท้สู่คน นั้นแหล่ว




การเลี้ยงศพ
เถิ่งเวลาเซ้าเย็นลงก็จัดแจงฝูงอาหาร ข้าวน้ำหวานพร้อมพร่ำคาวหมากพลูบุหรี่พร้อมจัดอยู่หัวโลง เอาฝ่ามือตีเคาะบอกลุกมากินได้ คดีโลกนั้นถือว่าการเลี้ยงคนตายตามเหตุ คดีธรรมนั้นสอนเฮาให้รู้เรื่องว่าเป็นคนหาเบียดเบียนผู้อื่นลักขโมยสิ่งของๆ เขาเหล่านั้นเป็นการสร้างบาปกรรม ครั้นเมื่อตายไปแล้วเอาไปนำได้บ่ เอาไปบ่ได้ทั้งตัวนั้นก็เหล่าเผา ชั้นเดียวเล็กน้อยต้องฝั่งอยู่ในดินให้เราคิดเวทนาซ่วยทำบุญสร้างมีแต่บาปกับบุญนั้นตามเฮาพาไปเกิด สาธุชนว่ารู้เห็นแล้วฮีบตรองนั้นท่อญ





วน เรือนดี
อันว่าบ้านที่มีศพไว้บ่ทันไปหนีจาก เรียกว่าเรือนดีบ่มีความร้าย พอว่าไผมารู้คนตายไปจากอยู่บ้านใดต่างก็ถามยอกย้อนหวังเพื่อต่อทาน จึงได้นำของข้าวเงินทองช่วย ได้ทำบุญมากล้นคำนี้จิงว่าดี



<<สวดมาติกา
ก่อนจักเอาศพเข้าในโลงหีบใหญ่ ต้องนิมนต์พระสงฆ์ได้ตามเรื่องอายุไข หากบ่มีพระมากได้ก็อย่าขาดจำนวนสงฆ์ทั้งเวลาเช้า-เย็นบ่ลืมคำนี้ นิมนต์สงฆ์ได้มาติกามาสวดรับสมาทานศีลเรียบร้อยแล้วเอามือต้องเคาะโลงบอกดวงวิญญาณเจ้ามาฟังพระสวด คดีโลกถือว่าทำบุญให้คนตายได้รับส่วน คดีธรรมให้คนเป็นได้รักษาศีลธรรมไปตลอด เป็นการเตือนแนะให้เฮารู้สู่วัน

สวดยอดมุขคือยอดธรรม
พระสงฆ์ให้พระอภิธรรมเป็นยอด ยอดพระอภิธรรมนี้ประจำไว้อยู่ที่ใจ ร่างกายนี้ทวงคุณอันเป็นยอด มีรูปขันธ์อยู่พร้อมบ่หนีได้จากธรรม คดีโลกนั้นถือว่าเป็นการให้กุศลนำกรรมส่งคดีธรรมนั้น ถือเอาคนมีบุญมาก เช่นพุทธองค์ท่านได้โปรดพระแม่มารดา ที่ดุสิตดาวดึงส์แค่ปรางคราวนั้น พระองค์ทรงแสดงให้อภิธรรม ๗ คัมภีร์ไปโปรดจึงจะสมกับน้ำนมท่านได้คราวนั้นกล่าวมา

การยกศพออกจากเรือน>>
การยกศพออกจากเรือนนั้น ให้ถอดฝาพวกนั้น ทางระเบียงเอาออก ลงนอกชานบ่อนโล่งลงได้ง่ายดาย

การรดน้ำศพ
เมื่อว่าศพลงจากเรือนแล้ว พระสงฆ์ทำน้ำมนต์รดส่งเจ้าของบ้าน ก็เอาน้ำมนต์นดที่ตั้งศพ คว่ำหม้อน้ำกินน้ำใช้อย่ามุ้งไว้คงเดิม เพราะน้ำเก่านั้นต้องสาดเสีย เทเสียเป็นธรรมเนียมของบ่ดีอย่าเอามันไว้

พลิกบันได
ครั้นว่าศพเถิงพื้นปฐพีภายหลุ่ม เอาหนามผูกบันไดถ่วงไว้ ๗ วันแล้วจิงเข้า หักเอากิ่งไม้สองกิ่งติดกัน มัดกับประตูเรือนเครื่องหมายเอาไว้ ครั้งยกศพไปพ้นก็ถ่อนเสียเอาออก คดีโลกกล่าวไว้ให้ผีจำเรือนของตัวบ่ได้หนีไปแล้วบ่ต่าวคืน

ส่งสะการศพ
อันว่าเครื่องสักการะนั้นคือดอกไม้ฝูงหมู่ฮูปเทียน ก่อนจักเอาศพลงเรือนจิงทำการไหว้ ลูกหลานนั้นนำไปเคารพก่อน ฝูงหมู่ญาติพี่น้องไปเถิงป่าช้าแล้วจึงทำการไหว้ดั่งเคย ขอขมาไว้กับผู้ตายหนีจาก หากได้ทำการพลาดพลั้งก็ขอให้ส่วนอภัย หากบ่ได้ประมาทพลาดพลั้งเป็นบุญได้ต่อกระทำ นั่นแหล่ว

<<การหามศพ
การหามศพนั้น เอาไม้ไผ่บ้านสองลำเรียงอยู่ เอาตอกสะเนาะขันให้เรียบร้อยจนมั่นแม่นใจ หามข้างละ ๓-๔ คนบ้างบ่เป็นแนวผิดฮีดเอาเท้าออกไปก่อนเหมือนเฮาเดินด้วยเท้าเสมือนเท้าเสมือนต้ามดั่งเดียว ห้ามพักกลางทาง ห้ามเปลี่ยนบ่า ห้ามข้ามนา ข้ามสวนพวกนี้ ถือไว้ว่าคะคำ

การจูงศพ>>
ลูกหลานของผู้ตายนั้นมีหลายพอหมู่ ถ้าเป็นชายก็ให้บวชเป็นเณรพระสงฆ์ก็ได้จูงเข้าป่าไป ถ้าเป็นหญิงก็ให้ทรงผ้าขาวชีบวช จูงศพเข้าป่าช้าแล้วจึงลา คดีโลกนั้นถือว่าเกิดมาแล้วบ่เสียชาติเป็นคนมีลูกหญิงลูกซายบวชเรียนธรรมได้ คดีธรรมนั้น ลูกจะดึงพ่อแม่ขึ้นสู่เมืองสวรรค์จูงให้มีศีลธรรมอยู่สวรรค์เมืองฟ้า

การโปรยข้าวสาร
ครั้นหามศพออกจากบ้านแล้วมีข้าวสารโปรยหว่าน ตามทางศพคนหามแห่ไปตามกัน คดีโลกนั้นว่ามีผีมาช่วยแห่ มานั่งคานที่คนหามอยู่นั้นไปเรื่อยบ่เซา หว่านข้าวสารก็หวังเผื่อผีพลาย เขาจักลงมาเก็บกินบ่ขีโลงหามได้ทางคดีธรรม นั้นข้าวสารเหลือแต่แก่น จะไปปลูกอีกบ่ได้คือตายแล้วเหล่าบ่คืน ท่านเอย

<<หว่านข้าวตอกแตก
เอาข้าวเปลือกมาขั่วกลายเป็นข้าวตอกแตก เอามาโปรยปรายตามทางเผื่อผีพายนั้น เขาจักลงกินข้าวหามไปก็เบาหน่อย ดดีโลกคือให้ผีเก็บกินข้าวตามทางบ่หนักหน่วง คดีธรรมคือคนตายแตกกายทำลายขันธ์ แล้วเสมือนด้ามดั่งกัน ข้าวนั้นก่อนเป็นเมล็ดสวยงามมาภายหลังแตกบานเน่าเหม็นดังกันฉันนั่น

ไม้ขีดตามทางหามศพ
ครั้นว่าหามศพนั้นตกลงไปผ่าน ทางใดก็ตามช่างท่อญต้องเอาไปขีดทาง เพื่อว่าคนตามกันกันมาหลังได้สังเกต อย่างหนึ่งนั้นเป็นผีกลับมาย้านคืนมาก็หลงทวีป บ่รู้ว่าทางเก่าหรือใหม่ได้มาบ้านบ่เถิง นั่นแหล่ว





ที่ปลงศพ
เอาไข่ ๑ ฟอง ข้าว ๑ บั้นวางไว้จิงวางแล้วจิงโยมไปนั้นไปเสียงลองดู ถ้าไข่ตกลงเสียหายแตกไปหมายรู้ว่าเป็นที่ตรงนั้นบ่มีไผหวงอยู่บ่มีผีอยู่เฝ้าหมายนั้นจิงเอาหาผืนมากองไว้หลายลำหลายท่อน เรียกว่าการฟอนที่เผาคนเมื่อสุดท้ายหายจ้อยแม่นบ่เห็นท่านเอย

เอาศพเวียนสามรอบ>>
ก่อนจะขึ้นกองฟอนนั้น เอาเวียนไปสามรอบให้เอาเวียนข้างซ้ายจิงถือเว้าว่าดี คดีโลกนั้นถือว่าเคารพคดีธรรมนั้นถือตัณหาประจำโลก คือกามตัณหา ที่คนเราหนีบ่พ้นวนได้สู่วัน ภวะตัณหา ภพที่เกิดนั้นก็มาเกิดในภพ วิภวตัณหาความเมื่อเสียในภพบ่อยากเป็นอยากมีได้ ตัณหาทั้งสามนี้วนเวียนอยู่ในโลก ตราบใดที่เราบ่เข้าได้นิพพานพุ้นจิงค่อยพอ




<<กระแทกกองฟอน
ก่อนที่ศพขึ้นกองฟอนถึงบ่อน เอาโลงผีกระแทกเข้าให้กองฟอนนั้นจะวาง คดีธรรมสอนไว้คนเฮาให้จำจือ แม่แต่คนเป็นๆ ยังต้องกระทบกระแทกได้ตายแล้วก็ดั่งกัน เกิดไปภายหน้าให้ถือธรรมเป็นใหญ่ความกระทบกระแทกนั้นมิได้สู่คน




ล้างหน้าศพ>>
ก่อนจะลงมือเผานั้นต้องพลิกศพคนให้ดีก่อน เอาผ้าห่อศพออกทิ้งแล้วเอาน้ำรดลง เอาแต่น้ำมะพร้าวแสนสะอาดบริสุทธิ์ทิ้งน้ำอบน้ำหอมรดสรงศพได้ คดีทางโลกถือความบริสุทธิ์เป็นใหญ่ น้ำมะพร้าวเป็นของบริสุทธิ์มากล้นบ่มีได้เปรียบปาน ส่วนคดีธรรมนั้นคือสุจริตธรรมใสสะอาด ชำระล้างใจนั้นอยู่เย็น




<<โยนผ้าข้ามโลง
ครั้นว่าชำระล้างศพดีแล้วโยนแพรเหาะเวิน ข้ามโลงศพรอดเพื่อ ๓ ลวดแล้วนำผ้าต่าวคืน จะถวายสงฆ์ก็ได้หรือผ้าห่อคัมภีร์ เป็นหนังสือใบลานที่จานเอาไว้ เอาผืนแพรผ้าที่โยนมาไว้ห่อ ท่านว่าได้บุญมากล้นผลนั้นแล่นสะนอง เป็นผลบุญให้คนตายอีกชั้นหนึ่งคะโยมเอย






ไม้ข่มเห็ง>>
ไม้วางทับโลงนั้นเป็นนิยายเว้าว่า ไม้ข่มเห็งหัวโลงกดขี่ไว้บ่มีให้หล่นหาย คดีโลกถือกันไว้เป็นคนทำเผินต้องมีผู้ปกครองดูแลรักษาอยู่ไว้จิงเถิงได้บ่อนดี บ่มีคนข่มไว้สอนสังทางดี ก็จักเป็นคนดีแม่บ่มีทั้งนั้น






<<หว่านกาฬะพฤกษ์
เอาก้านกล้ายตัดเป็นท่อนเงินยัดในนั้น หรือจักเอาหมากพลูใส่ไปในหั้น ก่อนจะเผาศพนั้นมีการลงแจกเรียกว่า หว่านกาฬะพฤกษ์แก่คนนั่งล้อมบุญนั้นมากหลาย ของทานนั้นมีผลบังเกิดแก่ผู้ตายเพียงแท้ควรได้ชื่นใจ นั่นแหล่ว





การมาติกา บังสุกุลศพ

ก่อนที่จะนิมนต์พระสงฆ์มาติกาสวด ให้เอาสายด้ายขาวบริสุทธ์เรียบร้อยซึ่งให้แก่พรสงฆ์ เป็นสายโยงให้ยังสกุลสงฆ์สวดพอว่าเสร็จแล้วเรียบร้อยพระสงฆ์เจ้าส่งพรแล้ว จิ่งลงมือเผาได้ตามประเพณีเฮากล่าว

วันที่ไม่ควรเผาศพ
วันพระนั้นเป็นวันฝูงเปรตมารับกุศลส่วนบุญ บ่มีเว้นแต่ละวันอังคารนั้น ถือเป็นแข็งตามฤกษ์ ถ้าจัดเผาให้ทำอุบายให้ได้ตามเรื่องบอกสอนการทำอุบายนั้นให้คนทำท่าขุดดินจะฝังเสียเร็วรีบ แต่มีพระสงฆ์มาขอแผ่ไว้ให้อย่าฝัง จิงจัดการเผาได้ตามประสงฆ์ของญาติ
ส่วนวันที่ ๙ กองนั้นเป็นวันอันพิเศษ ถ้าเผาเสียในวันที่ ๙ กองนั้นเป็นวันอันพิเศษ ถ้าเผาเสียในวันที่ ๙ กองนั้นภัยร้ายแล่นเถิง จิ่งควรถามคนเฒ่าดูดีให้ถ้วนถี่




<<การเผาศพ
สำหรับไฟเผาศพนั้นจัดให้มีไว้ต่างหาก อย่าไปจุดต่อใต้ตามแท้บ่ดี คดีธรรมกล่าวไว้ว่าไฟรนลุกลวกไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ พวกนี้จะลามไหม้หมู่คน ทุกวันนี้มันร้อนเผากายเฮาอยู่ ก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ พวกนี้คุมไว้อยู่ที่ใจ ถ้าเป็นแดงดวงกล้าเวลามันร้อนเร่งฮอดจักลามตามติดดั่งไฟฉันนั้น


การเก็บกระดูก>>
ครั้นว่าเถิงสามวันถ้วยพากันเก็บกระดูก นิมนต์พระสงฆ์ทั้งญาติ พี่น้องไปพร้อมพร่ำกัน จัดเอาอาหารได้เป็นภาชณ์ไปแจก พอไปเถิงป่าช้าจัดแจงปล่งจง ขอวอนผีมากินสู่ตัวมวญพร้อม มื้ออื่นเช้าเชิญไปไปกินข้าวที่ฝูงเฮาทำแจก เรียกว่าทำบุญแจกข้าวมาให้หมู่ผี
แล้วก็จัดแจงเถ้ากองฟอนเป็นฮูป ทำคืนคนนอนหงายสมมุติว่าตายแล้วเพียงจริง เอาหัวหันไปก้ำตะวันตกตามรีด แล้วนิมนต์พระสงฆ์ส่งคำมาติกาบังสุกุลเรียบร้อยเลยได้ลบเสีย แล้วก็นำหุ่นใหม่ได้หันหัวไปตะวันออก เพื่อขอส่งดวงวิญญาณไปเกิดได้ใดแท้แต่กรรม จับเอาหม้อ กระดูกตั้งบ่อนเป็นอก แล้วนิมนต์พระสงฆ์บังสุกุลคนเป็นตั่งคำบาลีเว้าเสร็จสรงแล้วก็เอาดวงกระดูกไปทำเจดีย์ก่อไว้หมายสร้างก่อบุญ เกิงวันเดือน, ปี คนตายแล้วทำบุญฉลองกระดูก เขียนชือใส่ขันถวายสงฆ์ท่านไท้ พระสงฆ์สวดมนต์ ชักบังสุกุลให้เถิงผู้ตายไปตลอด ถ้าผู้ได้เสวยกรรมสร้างไว้บุญนั้นก็ส่งเถิง ถ้าผู้ตายไปเกิดถ้ำมนุสะโลกเมืองคนบุญกุศลอุทิศก็ส่งสนองตามได้
ที่มา:http://www.watisan.com/
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 53
Join date : 20/03/2010

http://esanhouse.canadaboard.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ