Esanhouse
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

งานประจำของชาวอีสาน

Go down

งานประจำของชาวอีสาน Empty งานประจำของชาวอีสาน

ตั้งหัวข้อ  Admin Sat Mar 20, 2010 8:31 pm

งานประจำของชาวอีสาน
อีสานโบราณนั้นก็เหมือนกันกับภาคอื่น งานประเพณีบ่ได้วาง ปล่อยทิ้มของเค้าเก่าหลัง ประเพณีแต่ครั้นก่อนๆ ตามเดิม ถือว่าเป็นสำคัญต่อกันมาเรื่อย
ตัวอย่างว่าผู้ชายนั้นถือคราวเป็นบ่าว ต้องหัดสานบุง กระด้ง ทั้งคานพร้อมคุแคง ผู้กระเบียนซ่อนไซ กระติบ ขันหมาก ทั้งฝูงฮวดนึ่งข้าวแอบยาเฮาพวกนี้สานได้สู่แนว เลื่อยไม้ถากไม้ฝูงคราดไถนา ฟั่นเชือกทั้งใสกบค่าวปอลงกล้า ดำนาได้ไถเป็นคู่สูอย่าง บ่มีทางขี้คร้านงานนี้เก่งเหลือ สาวๆ เห็นเขาแล้วสิมาเพื่ออยากได้คู่การงานบ่ขี้คร้านขยันสู้สู่แนว จัดว่าเป็นชายก็ให้เป็นชายแท้ อย่าแถมแกมหินแฮ่ทรายก็หากทรายแท้ตนนั้นบ่ปนพ่อแม่ก็สอนลูกสอนหลาน สืบตำนานอีสานต่อเติมเอาไว้
ส่วนว่าผู้หญิงนั้นมีการสอนกล่าว พ่อแม่บอกคู่เช้าแลงแท้บ่วาง ให้รู้จักตำข้าวแลงงายขนหาบ น้ำบ่ได้หม้อหาไว้ครบครันทั้งตักน้ำตำข้าวเย็บปักถักเก่ง ทอหูกทั้งเลี้ยงหมอนทั้งป้อนหมู่ไหม รู้จักกิจการบ้านเรือนชานโดยรอบ เวลามีผัวสิบ่ลำบากแท้นำได้สู่แนว โบราณเว้าภาษิตดีสอนลูก

ครั้นว่าเป็นหญิงนี้เป็นผู้หญิงดีเกินคาด เป็นหญิงนี้ให้เป็นหญิงให้มันแม๋น เล็งให้ดีแม้นๆ สังแล้วจังค่อยยิง ทั้งให้เป็นหญิงแท้อย่าเป็นหญิงดายดอก ตอกหลักแลเขนแล้วยิงได้เปล่าดายดอกนา

การทำรั้วสาน
ในชานบ้านเรือนที่เฮาอยู่จัดให้มีรางสี่เหลี่ยมไว้เตรียมปลูกของกิน มีผักแซะแงะ (สะระแหน่) ผักบั่วหัวหอมปลูก ผักกระเทียม ผักแมลง ๓ พวกนี้ปรุงให้รสดี หัวไร่ปลายนานั้นมีโพนจอมปลวกทำเป็นแปลงปลูกไว้ผักหญ้าเครื่องกิน มีพรั่งพร้อมหอมหมู่กระชายก่อสิ่งใด ผักอีตุหอมฝังไว้เถิงยามเมื่อเราใช้หุงหาปิ้งจี่ จักได้เก็บของพวกนี้มาได้ง่ายดาย

การเลี้ยงวัว ควาย
การเลี้ยงวัวควายนั้น ถือเป็นประเพณีอย่างหนึ่ง ฝูงวัวควายช้างม้ามีไว้คาดไถ ทั้งฝูงวัวควายช้างมีทางประโยชน์ ทางเมืองสุรินทร์ เลี้ยงช้างไว้มีชื่อเสียง วัวควายนั้นมีมากในนครราชสีมา นิยมจ่ายขายหรือหาซื้อทางอีสานเรานิยมทำคอกไว้ใต้ถุนเรือน เพื่อได้ปุ๋ยไว้ใส่นา มีทั้งกาไก่ พร้อมทำใส่กรงเหล็ก ตามใต้เรือนชานมากมูลหลายบ้าน เผื่อเป็นอาหารประจำวันได้เวลาอดอยาก ทั้งเลี้ยงหมูพวกนี้เอาไว้เพื่อขาย ขี้ของของมันได้ใส่หมู่ผักหอม บ่ต้องหาเงินหลายจ่ายไปหาซื้อคนโบราณนั้นถือหมาแมวไว้เห่า ทั้งเฝ้าบ้านนอนเฝ้าสิ่งของ สัตว์พวกนี้มีอยู่ประจำบ้านเรือน โบราณถือว่าเป็นครองธรรมแท้

การต่ำหูกทอผ้า
หญิงสาวแส่พอมาแตกหนุ่ม ๑๕ -๑๖ ขวบเข้า สาวเจ้าปั่นทอ หัดตำหูกย้อมผืนแผ่นแพรไหม จับกระสวยทั้งโกงปั่นทอด้าย ทอเป็นผ้าฝ้ายแพรไหมผ้าควบ เป็นผ้าโสร่ง ผ้าอาบน้ำลายพร้อยโพดว่างามทั้งทำมุ้ง หมอนลายเลียนคาต การสานสาดเสื้อนั้นก็มีพร้อมพร่ำมวญ ส่วนผู้ชายเขานั้นทำนากล้าหว่าน ทำสวนหม่อน การเลี้ยงหม่อนฝูงนี้ก็เฮ็ดเป็น ทำการทอหูกนั้น เอาฮอดใต้ตะล่างเรือนตน เอาเป็นทำอุตสาหกรรมทอหมู่ไหมทั้งฝ้าย เป็นประเพณีเฮาได้ถือตั้งแต่ทวด ของพวกนี้อีสานนั้นคล่องคือ เจ้าเอย

การตำข้าวตักน้ำ
ครกมองนั้นคือทำเป็นกระเดื่องท่อนไม้พอส่ำน้อยมาทำขึ้นเป็นครกมอง เขาจักเหยียบได้ไม้กระเดื่องเป็นจังหวะสำหรับเรือนที่มีลูกสาวเขาจะตำข้าวหลังจากกินแลงแล้ว จะมีชายหนุ่มมาช่วยตำด้วย มีการเกี้ยวพาราสีกันตามวิสัยหนุ่มสาว ส่วนเรือนที่ไม่มีลูกสาว เขาจะตำข้าวในเวลารุ่งเช้าหากจะลงดำนาหรือทำบุญให้ทาน ก็มักจะบอกญาติพี่น้องให้มาช่วย
การรับประทานอาหาร ลาบนั้นว่าเป็นอาหารชั้นหนึ่งของชาวอีสาน การรับทานอาหารตามปกติหรืองานกินเลี้ยง หากขาดอาหารลาบ ถือว่าเป็นการรับทานชั้นต่ำ ในครอบครัวหนึ่ง ถ้าจะรับทานอาหาร ทำเนียมมีอยู่ว่า ต้องรับทานพาเดียวกัน พ่อลงมือรับทานก่อน แล้วแม่และลูกลงมือทันทีหลังเมื่ออิ่มแล้วประณมมือยกขึ้นใส่หัว ถือว่าเป็นการเคารพข้าว ขณะที่กำลังรับทานอยู่ มีแขกคนผ่านไปมาก็เรียกให้มากิน เขาจะกินหรือไม่สำคัญ การปฏิบัตินี้คือเป็นประเพณีกินกันอันดีของเจ้าของบ้าน หากมีอาหารมาก ก็ตักใส่ถ้วยแจกญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียง เพื่อเป็นการผูกความสามัคคีกัน
ความเป็นพี่น้องกัน คนอีสาน ถือคนเถิดในชาติเดียวกันเป็นเหมือนพี่น้องกัน จะอยู่ไกลใกล้ไม่สำคัญ พบเห็นกันจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ สนิทสนมรักใคร่ไว้ใจกัน อยู่กินด้วยกัน อนึ่งเวลาไปค้าขายบ้านไหนเมืองไหน จะขอกินข้าวเชาเฮือนได้ หากรักใคร่ถูกใจก็ผูกเป็นเสี่ยวเหอเกลอรัก เที่ยวไปหามาสู่กัน จะเป็นคนแก่หรือลูกเล็กเด็กแดงก็ตาม เวลามีการมีงานก็ช่วยเหลือกัน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปเยี่ยมเยือนกันใคร ออกลูกก็ไปดูแลช่วยกัน ด้วยเหตุนี้รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง รู้กระทั่งชื่อชามนามกรเป็นลูกเต้าเหล่าหลานของใคร มีอัธยาศัยใจคอเป็นอย่างไร การเป็นพี่น้องของคนอีสาน จึงเป็นวัฒนธรรมอันดียิ่งประการหนึ่ง
คนอีสานมีใจหนักแน่นในศีลธรรม เคารพพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างที่สุด เดินตามหลังพระภิกษุ แม้เงาของท่านก็ไม่เหยียบ มีความเคารพยำแกรงผู้หลักผู้ใหญ่เกล้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หากท่านพูดว่าสิ่งนี้เป็นบาป เป็นกรรมคะลำ ก็ไม่กล้าทำเอาเสียเลย พ่อแม่สอนลูกหลานให้กลัวบาป กลัวกรรมมาแต่เยาว์วัย ห้ามมิให้ขี้เยี่ยวในวัด หาจะเยี่ยวก็ให้ขุดเอาดินที่เยี่ยวออกมาทิ้งนอกวัด เวลาเข้าวัดหากถือร่มก็ให้หุบ ใส่รองเท้าก็ให้ถอดเสีย
สำหรับหนุ่มสาว พ่อแม่ให้ไปลงวัดในเวลากลางคืน ในวันพระ ๗ - ๙ ค่ำ ๑๔ – ๑๕ ค่ำ เพราะในวันพระ พระสงฆ์อบรมศีลธรรมแก่ญาติโยม โดยเฉพาะหนุ่มสาว ก็ให้ทำวัตร สวดมนต์ สวดสรภัญ ครั้นพระสงฆ์ ไปในงานการกุศลตามบ้าน พ่อแม่ก็ให้ ลูกหลาน ของตนติดตามพระสงฆ์ไป เพื่อให้ท่านอบรมศีลธรรมวัฒนธรรมไปในตัว
สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกหลานมักมิให้ทำงาน ให้เข้าวัดฟังธรรมจำศีล ตักบาตร จังหัน ฟังเทศน์ประจำวันผู้เฒ่าสมัยโบราณไปฟังเทศน์ จดจำคำสอนได้ดี เวลากินแลงจะเรียกลูกหลานมารวมกันเล่านิทานให้ฟังแล้ว แทรกศีลธรรมประเพณีไปด้วย ฟังแล้วเบิกบานสนุกสนานไปในตัว คนโบราณอีสานจึงเป็นคนดี ว่านอนสอนง่าย ไม่มีโจรผู้ร้าย วัวควาย ปล่อยไปไม่ต้องเลี้ยง สิ่งของวางไว้ที่ไหนก็ไม่มีใครลักขโมย
การลงข่วง ข่วงคือสถานที่ที่เขาปลูกยกพื้นสูง ๑ ศอก กว้าง ๖ ศอก ยาว ๘ ศอก ปูด้วยแป้นหรือฝากไม้ไผ่ ข้างบนไม่มีเครื่องมุง ตรงกลางทำคี (ตา) ไฟไว้ปลูกไว้ที่บริเวณบ้าน ใช้เป็นสถานที่เข็น (ปั่น) ฝ้ายของหญิงสาว ข่วงหนึ่งๆ จะมีหญิงสาว ๔ – ๕ คน เสร็จจากเกี่ยวข้าวแล้วเขาจะเริ่มลงมือทำ หญิงสาวจะพากันไปเอาฟืนข่วง ฟืนใช้ไม้ไผ่หอบมากะพอใช้คืนหนึ่งๆ ในการไปเอาฟืนนี้ชายหนุ่มจะตามไปด้วยเพื่อช่วยเหลือ เมื่อกินแลงแล้วหญิงสาวจะเตรียมลงข่วงจุดไฟขึ้น แล้วเข็นฝ้ายไปถึงครึ่งคืนจื่งเลิก ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ ๔ – ๕ เดือน จะได้ฝ้ายพอที่จะทอเป็นผ้าใช้นุ่งห่มภายในครอบครัวได้ ไม่ต้องซื้อหาที่อื่น ในการลงช่วงนี้ จะมีชายหนุ่มมาเล่นหัวพูดเกี้ยวพาราสีอยู่ด้วย เป็นการเลือกคู่ครองไปในตัว การลงข่วงถือเป็นประเพณีอันดีงามของคนอีสาน
การลงแขก คือการไปบอกกล่าวพรรคพวกเพื่อนฝูงมาช่วยกันทำงานเรียกกันว่าการลงแขก งานทำนั้นมี ๒ อย่าง คือ งานส่วนตัว ๑ งานส่วนตัว ๑ งานส่วนรวม ๑ งานส่วนตัวนั้น ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ทำเอาเองก็ได้ ถ้าเป็นงานหนักและต้องทำให้เสร็จในวันเดียว ก็ต้องบอกเล่าญาติพี่น้องให้มาช่วยเหลือ งานส่วนตัวที่ต้องลงแขก มีนิยมทำอยู่ ๓ อย่างคือ ลงแขกทำเรือน ลงแขกทำนา ลงแขกหาอาหาร

๑. การลงแขกทำเรือน มีธรรมเนียมอยู่ว่าต้องทำให้เสร็จในวันเดียว การไปหาเสาก็ดี การปลูกก็ดี จะทำให้ค้างคืนไม่ได้ ถือว่าคะลำ แขกคนที่เชิญมาช่วยงานต้องขยันขันแข็ง ไม่ใช่แบบหามเขิม การทำให้เสร็จในวันเดียว คนโบราณถือว่าเป็นมงคล หากญาติพี่น้องตายไม่มีไม้ทำโลง ก็ลงแขกเลื่อยไม้ทำโลงให้

๒. ลงแขกทำนา ถือว่าสำคัญมีอยู่ ๔ อย่าง คือ เวลาตำนาเวลาเกี่ยวข้าว เวลาเคาะ (ฟาด) ข้าว เวลาหาบข้าวถ้าเห็นว่าเวลาใดควรลงแขกก็ไปบอกเรียกเพื่อนฝูงให้มาช่วยการลงแขกดำนา ซึ่งนานๆ จะมีสักหนเพราะการดำนาต้องเร่งให้ทันฟ้าฝน ส่วนเก็บเกี่ยว การเคาะการหามนั้นมีบ่อยครั้ง เพราะมีเวลาพอที่จะปลีกตัวไปช่วยกันได้

๓. ลงแขกหาอาหาร งานที่ถือว่าดีเด่นก็อยู่ที่การกินอุดมสมบูรณ์ การหาอาหาร ที่นิยม ทำกันคือการลงแขกโดยการแบ่งคนเป็นพวกๆ ไปตึกแหหาปลาไปหากุ้งหาเนี่ยว หาหน่อไม้ เก็บผัก หักฝืน ไปคั่วบ้าน หาพริก พลู หมากอึ หมากแดง ได้แล้วมารวมกันไว้ที่บ้านงาน เวลาลงมือทำอาหารเลี้ยงกัน การลงแขกสร้างสรรค์ความเจริญให้แก่หมู่บ้าน ถือว่าเป็นกิจที่สำคัญยิ่ง ของคนที่รวมกันอยู่เป็นหมวดหมู่ ในหมู่คนจะต้องมีสมบัติส่วนกลาง ซึ่งของที่ทุกคนจะใช้ร่วมกัน โบราณว่าถ้าจะดูความเจริญของคน ให้ดูความสวยงามของสมบัติส่วนกลาง มีวัดวาอาวาส อาคารบ้านเรือนเป็นต้น เนื่องจากที่วัดวาอาวาส และอาคารเป็นเมืองของใหญ่โตคนเดียวไม่สามารถจะทำได้ คนโบราณจึงนิยมทำด้วยการลงแขก

๔. ลงแขกสร้างวัด วัดเป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ วัดเป็นสง่าราศีของบ้านเมือง เป็นที่ชุมชนนักปราชญ์ เป็นบ่อเกิดและที่ตั้งดำรงอยู่ของศีลธรรมและวัฒนธรรมทุกแขนง ถ้าบ้านใดเมืองใดมีวัด บ้านเมืองถือว่าเจริญรุ่งเรืองการลงแขกสร้างวัดก็คือ เมื่อโบสถ์ กุฏิ หรือวิหารไม่มี ก็พากันเสียสละกำลังกายกำลังทรัพย์สร้างขึ้น หากชำรุดทรุดโทรมก็ช่วยกันซ่อมแซมให้ดีขึ้น

๕. ลงแขกสร้างบ้าน อาคารหรือโรงศาลากลางบ้านเรือนที่ใช้เป็นของกลางเรียกว่าบ้านใน ที่นี้สิ่งเหล่านั้นมีศาลาบ้าน คือสถานที่ประชุมปรึกษาหารือกิจการบ้านเมือง หอตักบาตรคือสถานที่ทำบุญให้ทานคือสถานที่สั่งสอนอบรมให้เป็นคนดี สถานพยาบาล คือสถานที่บำบัดโรงเรียนโรคภัยไข้เจ็บ ถนนหนทางคือทางสัญจรไปมาหาสู่กัน สระ บึง บ่อ ห้วย หนอง คือที่เพาะปลูกอาหาร หากส่วนรวมไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่สร้างสิ่งเหล่านี้ไว้ ไม่ช่วยกันรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้แล้ว บ้านเมืองก็จะมีแต่ความเสื่อมทราม คนจะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว ยากจะหาความเจริญรุ่งเรืองได้ คนโบราณท่านเล็งการไกลจึงสร้างประเพณีไว้

ที่มา:http://www.watisan.com/
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 53
Join date : 20/03/2010

http://esanhouse.canadaboard.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ